ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ฤดูการผลิต 2563 วงเงิน 313.98 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีพื้นที่เป้าหมาย 3 ล้านไร่ และกำหนดให้ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทุกพื้นที่ โดยมติครม.ดังกล่าว ได้มอบหมายให้ สำนักงาน คปภ. ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เป็นไปตามรูปแบบ และหลักเกณฑ์การรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต 2563 รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จ โดยสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2563 ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต 2563 รวมถึงดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต 2563 ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้น
สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้เตรียมความพร้อมและ เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 ตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว โดยเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 ตนในฐานะนายทะเบียนได้ลงนามในคำสั่งนายทะเบียนที่ 36/2563 เรื่อง กำหนดแบบและข้อความกรมธรรม์ของประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 เพื่อกลุ่มเกษตรกรและอัตราเบี้ยประกันภัย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จำนวน 3 แบบกรมธรรม์ ดังนี้
1. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 เพื่อกลุ่มลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
2. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์)
3. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ส่วนเพิ่ม
โดยมีบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 จำนวน 17 บริษัท ได้แก่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท เจพีประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยไพบูลย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ฟอลคอนประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท มิตซุย สุมิโตโมอินชัวรันส์ จำกัด สาขาประเทศไทย บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท แอลเอ็มจีประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยเริ่มรับประกันภัย ในปีการผลิต 2563 ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ เพื่อเร่งดำเนินการให้สอดคล้องกับฤดูกาลเพาะปลูกของเกษตรกร โดยรอบที่ 1 สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูฝน ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ให้ความเห็นขอบโครงการฯ ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 และรอบที่ 2 สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2564
โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 สำหรับพื้นที่ที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (พื้นที่ 2.8 ล้านไร่) เกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. จะจ่ายเบี้ยประกันภัย ในส่วนความคุ้มครองพื้นฐาน (ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 160 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยรัฐบาลอุดหนุน 96 บาทต่อไร่ และอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม และธ.ก.ส.อุดหนุนอีก 64 บาทต่อไร่ ส่วนเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มเอง และเกษตรกรทั่วไป (พื้นที่ 1 แสนไร่) รัฐบาลอุดหนุน 96 บาทต่อไร่ และอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม และเกษตรกรจ่ายเอง 64 บาทต่อไร่ สำหรับอัตราเบี้ยประกันภัยความคุ้มครองส่วนเพิ่ม (ส่วนที่ 2) เกษตรกรจะจ่ายเบี้ยประกันภัยเองทั้งหมดตามพื้นที่ความเสี่ยงภัย โดยถ้าเป็นพื้นที่สีแดงมีความเสี่ยงภัยสูง จ่ายเบี้ยประกันภัย 110 บาทต่อไร่ พื้นที่สีเหลืองมีความเสี่ยงภัยปานกลาง จ่ายเบี้ยประกันภัย 100 บาทต่อไร่ และพื้นที่สีเขียว จ่ายเบี้ยประกันภัย 90 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) กรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัต์ ปีการผลิต 2563 ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัยน้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยจากช้างป่า สำหรับความคุ้มครองพื้นฐาน (ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 1,500 บาทต่อไร่ ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม (ส่วนที่ 2) อยู่ที่ 240 บาทต่อไร่ และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด ตามความคุ้มครองพื้นฐาน (ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 750 บาทต่อไร่ ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม (ส่วนที่ 2) อยู่ที่ 120 บาทต่อไร่ โดยภัยดังกล่าวผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีการประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ดังนั้น เกษตรกรที่ทำประกันภัย (ส่วนที่ 1 + ส่วนที่ 2) ในคราวเดียวกัน จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 1,740 บาทต่อไร่ และจะได้รับความคุ้มครองจากภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด 870 บาทต่อไร่
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 สำนักงาน คปภ. จึงได้ดำเนินการขับเคลื่อนร่วมกับโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ที่ ครม. ได้อนุมัติไปเรียบร้อยแล้ว โดยจัดทำโครงการ “อบรมความรู้ประกันภัย Training for the Trainers” จำนวน 5 ครั้ง ใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี อุตรดิตถ์ กาฬสินธุ์ และ พัทลุง อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงมีความรุนแรงและต่อเนื่อง สำนักงาน คปภ. จึงได้เตรียมความพร้อมในการให้ความรู้แบบคู่ขนานไปกับการลงพื้นที่ ด้วยการปรับวิธีการให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยจัดทำวีดิทัศน์การบรรยายความรู้จากวิทยากร 5 หน่วยงานประกอบด้วย สำนักงาน คปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการเกษตร และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สำหรับถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกร เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน นอกจากนี้ ได้ดำเนินการผลิตสื่อความรู้ในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มช่องทางให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เช่น การจัดทำสื่อวีดิทัศน์ในรูปแบบกราฟฟิกเคลื่อนไหว (Motion graphic) การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเกษตรกร (influencer) ในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้ การจัดทำสื่อความรู้ในรูปแบบคลิปเสียง การจัดทำข้อมูลความรู้เพื่อเผยแพร่ผ่าน Application “กูรูประกันข้าว” ซึ่งจะมีทั้งความรู้ด้านการประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยสามารถดาวน์โหลดผ่าน QR code รวมถึงการผลิตสื่อความรู้ในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์ โดยจะได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเผยแพร่ สื่อความรู้ต่างๆ ผ่านช่องทางที่เข้าถึงเกษตรกรให้มากที่สุด
“สำนักงาน คปภ. ขอเชิญชวนเกษตรกรทุกท่าน ได้เล็งเห็นความสำคัญในการจัดทำประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากในช่วงฤดูการเพาะปลูกอาจเกิดความเสียหายจากภัยต่างๆ ได้ เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากศัตรูพืช หรือภัยจากโรคระบาดต่างๆ โดยนำระบบประกันภัยเข้ามาใช้ในการบริหารความเสี่ยงภัย เพื่อลดผลกระทบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยดังกล่าว ซึ่งในปีนี้การจัดทำประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีทั้งแบบกรมธรรม์ที่รัฐบาลให้การอุดหนุนเบี้ยประกันภัยและแบบกรมธรรม์ที่เกษตรกรสามารถซื้อเพื่อเพิ่มความคุ้มครองด้วยตัวเอง ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
ที่มา : https://www.oic.or.th/th/consumer/news/releases/90861